“ทนายตั้ม” ควงนาย ก.ลูกความ สามี ที่ยื่นฟ้องหย่าเมียและก็ฟ้องอดีตรองนายกฯ ย.คบชู้ ขึ้นโรงพักบางยี่ขันแจ้งความดำเนินคดี อดีตรองนายกฯ แจ้งความเท็จ หลังจากถูกดำเนินคดีร่วมกับภรรยาและพ่อแม่ฝ่ายหญิงข้อหาร่วมกันฉ้อโกง โวยให้การเรื่องทรัพย์สินที่ให้ฝ่ายหญิงเกินจริง อาทิ คอนโดมิเนียมที่ซื้อมาตั้งแต่ปี 62 ก่อนคบชู้ปี 64 แถมเปิดโปงว่าอดีตรองนายกฯเพิ่งพาเมียจดทะเบียนไปหย่า อำเภอสามพราน จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 9 เดือนมกราคม ก่อนเรื่องจะแดงขึ้นมา
ด้านอัยการแถลง ทนายตั้มร้องขอความเป็นธรรมคดี นาย ก.โดนคดีร่วมกันฉ้อโกง สั่งประเด็นให้ตำรวจสืบสวนเพิ่มเติม ถ้าฟ้องไม่ทันครบฝากขังวันที่ 15 มกราคม ผู้ต้องหาจะพ้นการควบคุมของศาล แต่ว่าหลังจากสำนวนเสร็จสิ้นขออนุญาต อสส.ฟ้องได้
กรณี “ทนายตั้ม” นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ออกมาเปิดประเด็นสร้างความฮือฮาในสังคม รับมอบอำนาจจากสามีชื่อย่อ ก. เป็นโจทย์ฟ้องแพ่งเรียกค่าตอบแทนจากอดีตรองนายกรัฐมนตรีชื่อย่อ ย. และก็ฟ้องหย่าภรรยาของตนเองต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางตั้งแต่เดือน ธันวาคม65 กรณีคบชู้กัน
อ้างว่ามีหลักฐานทั้งข้อความพูดคุยและก็ภาพถ่ายวาบหวิวระหว่างอยู่ด้วยกันเป็นหลักฐาน ต่อมาอดีตรองนายกฯ ย. เข้าแจ้งความร้องทุกข์พนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน ดำเนินคดี นางสาวธ. ภรรยา นาย ก.สามี และก็พ่อแม่ฝ่ายหญิง ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ตำรวจมีความเห็นสั่งฟ้องส่งสำนวน ให้พนักงานอัยการตลิ่งชัน 2 อยู่ระหว่างพิจารณาสั่งคดี
ความคืบหน้าจาก สถานีตำรวจบางยี่ขัน เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 ม.ค. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พร้อมด้วยนาย ก. (นามสมมติ) อายุ 35 ปี สามีของหญิงสาวอายุ 25 ปี ที่ตกเป็นข่าวฉาวคบชู้กับอดีตรองนายกรัฐมนตรีชื่อย่อ ย. เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร้อยตำรวจโทน่านนที บูรณะ รอง สว. (สอบสวน) สถานีตำรวจบางยี่ขัน ดำเนินคดีกับอดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ข้อหาแจ้งความเท็จ กรณีอ้างว่า สูญเงินค่าสินสอดสู่ขอฝ่ายหญิงเป็นจำนวนเกือบจะ 20 ล้านบาท
นายษิทรากล่าวว่า วันนี้ตนพานาย ก. มาแจ้งความดำเนินคดีกับอดีตรองนายกรัฐมนตรีเรื่องแจ้งความเท็จ
เพราะให้การเท็จต่อพนักงานที่ทำหน้าที่ด้านการสอบสวนเรื่องการสู่ขอฝ่ายหญิงหรือมีการหมั้น แต่ว่าไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง มั่นใจว่าเป็นการแต่งเติมข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้าข้อกฎหมาย เพื่อตัวเองเรียกทรัพย์สินคืนจากฝ่ายหญิงได้
อดีตรองนายกฯมีภรรยาที่จดทะเบียนอยู่ด้วยกันมาเป็น 10 ปีมาตลอด นอกเหนือจากนี้ กรณีให้เงินไปซื้อคอนโดมิเนียมก็ไม่ใช่เรื่องจริง ตนมีหลักฐานกรรมสิทธิ์รวมทั้งทรัพย์สินต่างๆ ที่บอกว่าให้ฝ่ายหญิงก็ไม่ใช่ความจริง หลักฐานกรรมสิทธิ์การซื้อคอนโดฯ ตั้งแต่ปี 2562 แต่ว่าอดีตรองนายกฯพึ่งจะมารู้จักฝ่ายหญิงเมื่อปี 2565 ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินส่วนนี้แน่นอน พร้อมแสดงหลักฐานหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดย่านวงเวียนใหญ่ ขนาด 35 ตารางเมตร จดจำนองตั้งแต่ปี 2562 ก่อนที่ทั้งสองคนจะรู้จักและก็คบชู้กัน
“ส่วนเงินที่อ้างว่าให้ฝ่ายหญิงก็ไม่มีหลักฐานการเบิกถอน เชื่อว่าอาจมีการให้จริงแต่ไม่ถึงหลัก 10 ล้านบาท แต่ให้บ้างเพราะคบกับชู้รัก เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ตนออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่าจะแถลงในวันที่ 9 ม.ค. ปรากฏว่าอดีตรองนายกฯใช้เล่ห์กลด้วยการพาภรรยาไปหย่าร้างที่ อ.สามพราน จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 9 ม.ค. เพื่อใช้ในทางกฎหมายที่จะขอคืนทรัพย์สินที่ไปหมั้นกับฝ่ายหญิง และแจ้งความหรือเรียกทรัพย์สินต่างๆ คืนได้” ทนายตั้มกล่าว
นายษิทรากล่าวอีกว่า ส่วนข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ของอดีตรองนายกฯ ถ้าค้นข้อมูลส่วนตัวทางโซเชียลจะไม่พบเหตุเพราะเป็นวีไอพี แต่เพราะว่ามีผู้หวังดีเห็นว่า เรื่องนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม แจ้งตนว่าอดีตรองนายกฯ ไปจดทะเบียนหย่าร้างกับภรรยา ตนนำหลักฐานตรงนี้มาแจ้งความกับพนักงานที่มีหน้าที่สำหรับสอบสวนด้วย
หากออกมารับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายว่า ตนเอง ทำผิดพลาดก็จบ ไม่ใช่โยนความผิดให้คนอื่นโดนข้อหาร่วมกันฉ้อโกงเป็นขบวนการด้วย เรื่องที่ตำรวจมีความเห็นสั่งฟ้องข้อหาร่วมกันฉ้อโกง เป็นเพียงแค่ความเห็นเบื้องต้น ตนทำเรื่องขอความเป็นธรรมไปที่พนักงานอัยการแล้ว ไม่ใช่ว่าพอโดนคดีแล้วครอบครัวนี้จะมีความผิด
“ยืนยันว่าไม่มีพิธีสู่ขอ และขอท้าว่าถ้าหากมีจริงมีญาติผู้ใหญ่หรือมีใครรับรู้บ้าง ส่วนกรณีการตบทรัพย์ยังไม่มีการต่อรองใดๆ หากมีจริงคงมีหลักฐานมายืนยัน ส่วนทรัพย์สินที่บอกว่ามากถึง 19 ล้านบาทนั้น เชื่อว่ามีการให้จริงแต่มูลค่าไม่ถึงขนาดนั้น ส่วนก่อนหน้านี้ที่สามีของฝ่ายหญิงมาปรึกษาตน เนื่องจากสามีต้องการขอหย่าแต่ฝ่ายหญิงไม่ยอมหย่าให้ สามีเลยบอกว่า หากไม่ยอมหย่าจะฟ้องหย่าและฟ้องชู้คืออดีตรองนายกฯด้วย ทำให้ฝ่ายหญิงไปบอกกับอดีตรองนายกฯ จึงมาแจ้งความกลับทางครอบครัวฝ่ายหญิง” ทนายตั้มกล่าว หลังจากนั้นเดินทางออกจาก สถานีตำรวจบางยี่ขัน ทันที
ถัดมาเวลา 11.00 น. นาย ก.ให้การพนักงานที่มีหน้าที่สำหรับสอบสวน สถานีตำรวจบางยี่ขันแล้วเสร็จ เดินออกจากห้องสอบสวนและเดินทางกลับไป โดยไม่ขอให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนแต่อย่างใด
จากกรณีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ออกมาระบุว่า อดีตรองนายกฯ “ย.” ไปจดทะเบียนหย่ากับภรรยา เมื่อวันที่ 9 ม.ค.66
เพื่อหวังต่อสู้คดีและเรียกร้องทรัพย์สินคืนนั้น ปรากฏว่าในช่วงสายวันที่ 12 มกราคม ได้มีประกาศเป็นหนังสือเวียนภายในหน่วยงานของอดีตภรรยาของอดีตรองนายกฯ “ย.” แจ้งถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยกล่าวว่า ได้เปลี่ยนจากนามสกุลของสามี กลับไปใช้นามสกุลเดิมก่อนแต่งงานแล้ว จึงแจ้งให้ทุกแผนกรับทราบ หากมีเอกสารราชการใด ขอให้ใช้นามสกุลเดิมก่อนสมรสด้วย มีผลตั้งแต่วันที่ 10 เดือนมกราคม66 เป็นต้นไป
ที่สำนักงานอัยการคดีอาญาตลิ่งชัน วันเดียวกัน นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยว่า ได้รับทราบจากนายจิระประวัติ แบบประเสริฐ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาตลิ่งชัน ว่า เมื่อเย็นวันที่ 10 เดือนตุลาคม พนักงานที่มีหน้าที่สำหรับสอบสวน สน.บางยี่ขัน นำสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นางสาวธ. นาย ก.สามี นาง ข. แล้วก็นาย พ. มารดาและบิดาของ น.ส.ธ. เป็นผู้ต้องหาที่ 1-4 ตามลำดับ ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ประกอบมาตรา 83
“การนำสำนวนดังกล่าวมายื่นตรงกับวันครบกำหนดผัดฟ้องครั้งที่ 5 คดีนี้อัตราโทษไม่เกิน 3 ปี ถือเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลเเขวง สามารถผัดฟ้องได้ 6 ผัด 30 วัน เท่ากับว่าเหลือเวลาพิจารณาคดีช่วงผัดสุดท้ายถึงวันที่ 15 ม.ค. ก่อนหมดเวลาคุมตัวตามกฎหมาย คดีนี้ฝ่ายผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมเข้ามา พนักงานอัยการเจ้าของสำนวนจึงสั่งให้ตำรวจสอบสวนเพิ่มเติม ก่อนพิจารณามีคำสั่งทางคดีต่อไป ถ้าผลการสอบสวนที่พนักงานอัยการสั่งสอบเพิ่มส่งมาไม่ทันอัยการพิจารณาสั่งคดีวันที่ 15 ม.ค. ตามกฎหมาย ตัวผู้ต้องหาต้องพ้นการคุมตัวของศาล คดีต้องขออนุญาตอัยการสูงสุดฟ้อง หากมีคำสั่งฟ้องตำรวจต้องนำผู้ต้องหามาให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลอีกครั้ง” รองโฆษก อสส.กล่าว